วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม


ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม







ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ชาตะเมื่อ 11 พฤษภาคม 2443 และอสัญกรรมเมื่อ 2 พฤษภาคม 2526 ศึกษาจบมัธยม 6 จากโรงเรียนตัว อย่างมลฑลกรุงเก่า แล้วเข้าศึกษาโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมในปี 2460 สอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิต เมื่อปี 2462 อายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ระหว่างปี 2463-2469 ได้รับทุนไปศึกษาวิชากฎหมาย ณ ประเทศฝรั่งเศส จนได้ปริญญารัฐเป็น “ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย” (Docteur en Droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) และได้ประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นสูงทางเศรษฐกิจ (Diplome d’Etudes Superieures d’ Economie Politique)
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ท่านปรีดีได้ร่วมกับข้าราชการทหารและพลเรือนจำนวน 100 กว่านายในนามของ “คณะราษฎร” ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณา-สิทธิราช มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์โดยรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่น เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (คนแรก) เป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผู้เสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย การต่างประเทศ การคลัง และในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้าขบวนการใต้ดิน “เสรีไทย” เพื่อรักษา เอกราชและอธิปไตยของประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็น “รัฐบุรุษอาวุโส” และเป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังวิกฤตการเมือง
2490-2492 ท่านปรีดีได้ลี้ภัยการเมืองไปพำนักอยู่ประเทศจีน และในปี 2513 ได้ย้ายไปพำนักอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส จนกระทั่งถึงอสัญกรรมเมื่อปี 2526
ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเมื่อปี 2476-2477 นั้น ท่านได้ดำเนินการก่อตั้งมหาวิทยาลัย “ตลาดวิชา” แห่งแรกของสยาม คือ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งมีลักษณะ “พิเศษ” เกี่ยวพันกับการเมืองและความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ดังนั้นในบทความนี้ประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นจุดกำเนิดและวิวัฒนาการเริ่มแรกของ มธก. อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะวางแนวทางของมหาวิทยาลัยสืบต่อมา
เมื่อต้นปี 2526 อาจารย์และนักวิจัยธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ดำริที่จะทำงานวิชาการเรื่อง “ประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์” ผมซึ่งสมัยนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา (ซึ่งมี ศ. เสน่ห์ จามริก เป็นผู้อำนวยการ) และดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี (ฝ่ายวัฒนธรรม เฉลิมฉลองธรรมศาสตร์ 50 ปี ซึ่งมี ศ. นงเยาว์ ชัยเสรี เป็นอธิการบดี) ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย ได้ติดต่อกับท่านผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ณ กรุงปารีส เพื่อขอเข้าสัมภาษณ์จากท่านโดยตรง ท่านได้มีจดหมายนัดแนะอย่างเป็นทางการว่าให้ไปพบได้ในวันที่ 7 และ 9 พฤษภาคม พร้อมทั้งให้การบ้านแก่ผม ให้เตรียมตัวศึกษาไว้ก่อนล่วงหน้า คือ ท่านบอกว่าควรดู
ของท่านเกี่ยวกับเรื่องของธรรมศาสตร์ ซึ่งท่านเคยให้ไว้ในสมัย ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี (30 มกราคม 2518 ถึง 6 ตุลาคม 2519)
นอกจากนั้นก็ให้หาประวัติเกี่ยวกับการซื้อโอนที่ดินที่ท่าพระจันทร์
ให้ดูหลักสูตรของ มธก. หลักสูตรปริญญาตรี โท และเอก
ให้ดูหลักสูตร ตมธก.
แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 นั้น ท่านปรีดี พนมยงค์ ก็ถึงอสัญกรรมก่อนหน้าวันนัดหมายที่ผมจะไปพบท่านเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แทนที่จะได้ไปสัมภาษณ์เพื่อเขียนงานประวัติศาสตร์ ผมก็กลับกลายเป็นไปงานฌาปนกิจศพของท่านที่ทำกันอย่างเรียบง่ายและสมเกียรติที่กรุงปารีส ท่านกลายเป็นหนึ่งใน “แต่คนดี เมืองไทยไม่ต้องการ” ที่ต้องลี้ภัยการเมืองและอำนาจมืดของรัฐและจบชีวิตในต่างแดน เหมือน ๆ อย่างที่ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็ต้องประสบในอีก 16 ปีต่อมา ผมต้องขอขอบคุณสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ให้กู้เงินเป็นค่าเครื่องบินเดินทางและค่าใช้จ่ายในการไปร่วมงานศพครั้งนี้ ผมได้กลายเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปโดยมิได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแต่ประการใด
จากการบ้านข้างต้นที่ท่านผู้ประศาสน์การปรีดีได้ให้ไว้แก่ผม ก็อาจถือเป็นแนวทางในการสืบเสาะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น “มหาวิทยาลัยของสามัญชนที่ไม่สามัญ” ผมจะขอจำกัดเรื่องราวเพียงช่วงระยะจากปี 2477 ซึ่งเป็นปีของการสถาปนา มธก. ไปจนกระทั่งถึงช่วงประมาณปี 2490-2492 ซึ่งเป็นช่วงของรัฐประหาร 2490 และสิ่งที่เรียกกันว่า “กบฎวังหลวง 2492” หรือที่ท่านปรีดีเองเรียกว่า “ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ 2492” ซึ่งเป็นความพยายามจะยึดอำนาจคืนจากคณะรัฐประหาร 2490 นำประเทศกลับไปสู่ประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่งนั้น เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่มีระยะเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ท่านปรีดีเกี่ยวข้องและผูกพันกับมหาวิทยาลัยโดยตรง
หลังจากนั้นแล้วเมื่อบ้านเมืองขาดประชาธิปไตย ระบอบอำนาจนิยมเข้าครอง มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนแปลงไป แม้แต่ชื่อเดิมก็ถูกตัด คำว่า “วิชา” และ “การเมือง” ออก ฝ่ายอำนาจนิยมผลัดเวียนกันเข้ามา “รักษาการ” อย่างเช่นหลวงวิจิตรวาทการ (2493-2494) พลโท สวัสดิ ส. สวัสดิเกียรติ (2494-2495) ในฐานะตัวแทนคณะรัฐประหาร และท้ายที่สุดตำแหน่งผู้ประศาสน์การก็ถูกยุบ กลายเป็นตำแหน่งอธิการบดีที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาดำรงอยู่เมื่อ 2495-2500 หรือจอมพล ถนอม กิตติขจร ก็ยังเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ระหว่าง 2503-2506 ดังนั้นท่านปรีดี พนมยงค์ ก็เป็นผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยแต่เพียงผู้เดียว และไม่เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีเหมือนอย่างบุคคลอื่นๆ
ในช่วงระยะเวลา 15 ปีแรกของ มธก. นั้น ประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับ ท่านปรีดีอาจแบ่งได้เป็นสามหัวข้อ และขอบรรยายตามลำดับ ดังนี้
ปรัชญาในการสถาปนามหาวิทยาลัย
การบริหาร การเรียน และการสอน (ธ.บ. และ ตมธก.)
ชีวิตและวิญญาณของธรรมศาสตร์
ปรัชญาของการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
หากจะเท้าความย้อนกลับไปในอดีตให้ไกล หรือพยายามหาความต่อเนื่องตามประเพณีของศาสตร์ว่าด้วยประวัติ และสิ่งที่นักประวัติศาสตร์มักจะชอบทำกัน (ประเภทจากภูเขาอัลไตถึงอาณาจักรน่านเจ้า เรื่อยมาถึงสุโขทัย อยุธยา แล้วก็รัตนโกสินทร์) ละก็ เรามักจะได้ยินกันว่า ธรรมศาสตร์เป็นสถาบันที่สืบเนื่องมาจากโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม โรงเรียน กฏหมายมีกำเนิดควบคู่กับโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ซึ่งก็เกิดในยุคสมัยเดียวกันกับโรงเรียนนายร้อยทหารบก (จปร.) และโรงเรียนนายเรือ โรงเรียนกฎหมายนั้นตั้งในปี 2440 ส่วนโรงเรียนข้าราชการพลเรือนตั้งในปี 2442 ทั้งสองสถาบันเป็นหลักในการปฏิรูปการศึกษา “ด้านพลเรือน”Ž โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ได้รับการยกสถานะขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2459 ส่วนโรงเรียนกฎหมายก็ยังดำรงสถานะเดิมอยู่เรื่อยมา กว่าจะได้รับการยกฐานะก็อีกเกือบสองทศวรรษให้หลัง (แต่ก็ต้องถูกยุบไปรวมกับจุฬาฯ ในระยะเวลาสั้น ๆ อยู่หนึ่งปี เมื่อ 2476)
นั่นเป็นสิ่งที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็นความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ จากโรงเรียนกฎหมาย กลายเป็น มธก. แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว มธก. ก็ถือได้ว่าเป็นทั้ง “ความแปลก” และ “ความใหม่” ของการศึกษาสยาม/ไทย ทั้งนี้หากจะพูดให้ตรงแล้ว มธก. ถือได้ว่าเป็นผลพวงหรือ “คู่แฝด” ของการปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน 2475 อย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่มี 24 มิถุนายน 2475 ก็อาจจะไม่มี (วันสถาปนา มธก.) 27 มิถุนายน 2477 ถ้าหากเราจะดูจาก “คำประกาศของคณะราษฎร” ในวันยึดอำนาจได้กล่าวว่าการที่ “ราษฎร” ยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ (ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตย) นั้น “เป็นเพราะขาดการศึกษาที่เจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่” ดังนั้นในนโยบายหรือสิ่งที่เรียกว่า “หลัก 6 ประการ” ของคณะราษฎร ก็มีข้อหนึ่งที่ว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร” มีผลทำให้ต้องตั้ง มธก. ขึ้นมานั่นเอง
เมื่อมองในแง่นี้ การสถาปนา มธก. ในปี 2477 ก็มากับหลักประการที่ 6 ของคณะราษฎร กำเนิดมาควบคู่กับการปกครองในลักษณะใหม่ เมื่อประเทศมีรัฐธรรมนูญ มีประชาธิปไตย ก็ต้องมีสถาบันการศึกษาแบบใหม่ อันนี้จึงเป็นหลักปรัชญาพื้นฐานในการก่อตั้งเป็นหลักของการเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทำให้เกิดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน การเปิดและกฎเกณฑ์ที่แน่นอนนี้เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดลักษณะหนึ่งของสังคมประชาธิปไตย ในทางตรงกันข้าม การปิดเป็นความเลวร้ายของอำนาจนิยมและเผด็จการ
ในแง่ของการเปิดและการมีเสรีภาพนั้น อยากนำความรู้สึกของ “ธรรมศาสตร์บัณฑิตหญิงคนแรก” ที่ให้สัมภาษณ์ไว้ (2526) คือคุณหญิงบรรเลง ชัยนาม เมื่อถามท่านว่าประทับใจ อย่างไรบ้างเมื่อเข้ามาเรียนธรรมศาสตร์ตอนนั้น และจบเป็น ธ.บ. หญิงคนแรก เมื่อ 2478 ท่านตอบว่า
เอ ตอบยาก อาจจะประทับใจความมีเสรีภาพในการเล่าเรียน เป็นตลาดวิชาแล้วก็ให้เสรีภาพเสมอภาคกัน ให้เรียนวิชาต่างๆ ที่อยากรู้ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะอะไรอย่างนี้ เข้าไปแล้วรู้สึกสบายใจ อย่างบางโรงเรียนก็อาจมีเข้าไปแล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ธรรมศาสตร์ให้ความเสมอภาคกันหมด สบายใจ วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่รักแลสนใจถ้าเราจะดูจากคำกล่าวของท่านผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์ ที่กล่าวในวันที่ 27 มิถุนายน 2477 อันเป็นวันสถาปนา มธก. ณ ที่ตั้งเก่าของโรงเรียนกฎหมาย (ถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ซึ่ง มธก. ตั้งอยู่ ณ ที่นั่นสองปี คือ ปี 2477-2479 ก่อนจะย้ายมาซื้อที่ดินได้ที่วังหน้า ท่าพระจันทร์ ตึกเก่าจึงกลายเป็นกรมโฆษณาการและกรมประชาสัมพันธ์ไปในที่สุด และถูกประชาชนเผาเสียราบเมื่อเหตุการณ์พฤษภามหาโหด 2535) นั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่า
การตั้งสถานศึกษาตามลักษณะของมหาวิทยาลัยย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ และเป็นปัจจัยในการแสดงความก้าวหน้าของประเทศ ประชาชนชาวสยามจะเจริญในอารยธรรมได้ก็โดยอาศัยการศึกษาอันดีตั้งแต่ชั้นต่ำตลอดจนการศึกษาชั้นสูง เพราะฉะนั้นการที่จะอำนวยความประสงค์และประโยชน์ของราษฎรในสมัยนี้ จึงจำต้องมีสถานการศึกษาให้ครบบริบูรณ์ทุกชั้น
ท่านพูดต่อไปอีกว่า
มหาวิทยาลัยย่อมอุปมาประดุจบ่อน้ำบำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้อันเป็นสิทธิและโอกาสที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักแห่งเสรีภาพในการศึกษา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเห็นความจำเป็นในข้อนี้ จึงได้ตราพระราชบัญญัติ จัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น
นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่ากำเนิดของ มธก. มีผลมาจากแรงผลักดันของอดีตนักเรียน โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม กล่าวคือในปี 2476 สมัยรัฐบาลอนุรักษนิยมช่วงเปลี่ยน ผ่านของนายกรัฐมนตรีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) โรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมได้ถูกโอนไปขึ้นกับคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่หนึ่งปี ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นักเรียนโรงเรียนกฎหมาย ที่โรงเรียนอันเก่าแก่ และมีชื่อเสียงของตนเสมือนถูกยุบให้ละลายหายไป แทนที่จะได้เลื่อนสถานะเป็นมหาวิทยาลัย จึงมีผลผลักดันให้นักเรียนกฎหมายดังกล่าวเคลื่อนไหวให้มีการก่อตั้ง มธก. ขึ้น
ในเรื่องนี้มีบันทึกชิ้นหนึ่งที่สะท้อนกระแสและพลังของนักเรียนกฎหมายในตอนนั้นเป็นอย่างดี คือ บันทึกของคุณสงัด ศรีวณิก (ธรรมศาสตร์บัณฑิต ปี 2481) คุณสงัด ศรีวณิก บันทึกไว้ในหัวข้อ “โดมรำลึก” ว่า
ครั้นภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมิถุนายน 2475 แล้ว พวกเราประมาณ 4-5 คน ซึ่งเป็นนักเรียนกฎหมายอยู่ในเวลานั้น ได้ไปเยี่ยมท่านอาจารย์หลวงประดิษฐ์ฯ เพิ่งหายจากการป่วยไข้หวัด เราได้สนทนาและปรารภกันถึงฐานะของโรงเรียนกฎหมายซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาชั้นสูง ควรจะได้รับการสถาปนาให้เป็นมหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นก็มีสถาบันชั้นอุดมศึกษาเป็นมหาวิทยาลัยก็มีเพียงแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่เพียงแห่งเดียว
กล่าวโดยย่อ มธก. ก็เป็นผลพวงของการปฏิวัติ 2475 ที่บรรจบพอดีกับกระแสของ นักเรียนโรงเรียนกฎหมายที่ต้องการผลักดันยกฐานะของโรงเรียนของตนให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มี ลักษณะเปิดกว้าง เป็น “ตลาดวิชา” ที่น่าสนใจก็คือ ทันทีที่เปิดมหาวิทยาลัยในปี 2477 นั้น มีคนสมัครเข้าเรียนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลและล้นหลามถึง 7,094 คน (แน่นอน ส่วนหนึ่งคือผู้ที่โอนมาจากคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ จุฬาฯ หรือนักเรียนโรงเรียนกฏหมายเก่านั่นเอง) แต่ส่วนใหญ่ก็คือผู้ที่จบมัธยมบริบูรณ์ (มัธยม 8 ในสมัยนั้น) ซึ่งสามารถสมัครเข้าได้ทันที อันนี้ไม่ประหลาดอะไรเพราะ มธก. เป็นตลาดวิชา แต่ถ้าเราดูไปแล้ว คนที่สามารถสมัครเข้าได้นั้น จะรวมถึงข้าราชการตั้งแต่เสมียนขึ้นไป (ถ้าผู้บังคับบัญชารับรอง) ซึ่งก็เกิดการกระจายของการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่างไม่เคยมีมาก่อนเปิดกว้างมาก นอกจากนี้ผู้ที่สมัครเข้าได้ทันทีอีกพวกหนึ่ง ก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รุ่นแรกจากการเลือกตั้ง 2476) ผู้แทนตำบล เป็นต้น
จำนวนผู้สมัคร 7,094 นั้น ชี้ให้เราเห็นถึงความต้องการการศึกษาในระดับสูงมาก กล่าวได้ว่าในทศวรรษ 2470 นั้นมีคนจำนวนหนึ่งรอจะเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาค่อนข้างหนาแน่น แต่หลังจากนั้นจนถึงประมาณปี 2490 นักศึกษาที่สมัครเข้า มธก. จะมีจำนวนคงที่และปานกลาง คือ เพียงประมาณ 500 คนต่อปี อนึ่งถ้าเราดูจากคนที่สมัครเข้ามาใน มธก. เราอาจพูดได้ว่าส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง หรือกระฎุมพีในเมือง หรือใช้ศัพท์ของท่านปรีดี พนมยงค์ ก็บอกได้ว่าเป็น “ชาวบุรี” สะท้อนให้เห็นคลื่นหรือแรงผลักดันในการที่มีความต้องการการศึกษาของคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าชะงักงันหรือรอมาเป็นเวลานาน แล้วก็สบโอกาสในการเลื่อนสถานภาพของตนที่มาพร้อมกับหลักประการที่ 6 ของคณะราษฎร
ขอแทรกตรงนี้หน่อยว่า ช่วงปี 2475-2477 นั้น ประเทศสยาม (ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อทางการเป็นประเทศไทยจนกระทั่ง 2482) มีประชากร 12 ล้านคน มีนักเรียนระดับประถมและมัธยม 794,602 คน (ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้มีนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา (มัธยมปลาย ม. 7-8 เดิม) เพียง 2,206 คน ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่ต่ำมาก สมัยนั้นกรุงเทพมหานครมีประชากรเพียง 5 แสนคน ในปี 2475 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพียงแห่ง เดียวมีผู้จบการศึกษาเพียง 68 คน ฉะนั้นทันทีที่เปิด มธก. จึงมีนักศึกษาถึง 7,094 คน เป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญมากของการศึกษาไทย
นอกเหนือจากปรัชญาในการก่อตั้งในแง่ของประชาธิปไตยแล้ว ยังเห็นว่ามีปรัชญาที่เน้น ในเรื่องของกฎหมายหรือ “หลักนิติธรรม” rule of law อีกด้วย ทั้งนี้เพราะการปฏิวัติ 2475 ต้องการสถาปนากฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเป็นหลักอยู่เหนือบุคคล แน่นอน มธก. มาจากโรงเรียนกฎหมาย การศึกษาเน้นหนักด้านกฎหมายจึงไม่ประหลาดอะไรนัก แต่เดิมมีหลักสูตรสองปีระดับประกาศนียบัตร เมื่อเกิด มธก. เปลี่ยนเป็นระดับปริญญา มีหลักสูตรสามปี มีหกภาคการศึกษา ลักษณะของธรรมศาสตร์ในตอนนี้ยังเน้นด้านกฎหมายอย่างมาก เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม
การตั้งสถาบันการศึกษาของไทยในระยะเริ่มแรก เป็นเรื่องของหน่วยราชการที่จะสร้างคนของตนขึ้นมาใหม่เพื่อป้อนหน่วยงานของตนเอง มีลักษณะเป็นสายวิชาชีพนั้น ๆ โดยเฉพาะ อย่างด้านการปกครองก็เป็นโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ด้านการเกษตรก็เป็นโรงเรียนด้านการเกษตร (ที่จะกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ด้านศิลปะก็เป็นโรงเรียนประเภทช่างศิลป์ (ที่กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) ด้านแพทย์ก็เป็นโรงเรียนแพทย์ (ที่กลายเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล) ฯลฯ รวมไปถึงบรรดาโรงเรียนทหารบก-เรือ-อากาศ-ตำรวจทั้งหลาย มธก. ก็มีลักษณะกลายพันธุ์มาดังนี้ แต่ก็จะมีลักษณะกลายพันธุ์ที่แปลกและใหม่เช่นกัน
เมื่อดูจากวิชาที่เรียนกันใน มธก. มีการเรียนวิชาธรรมศาสตร์ในความหมายของกฎหมายทั่วไป เน้นในการเรียนกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่และสำคัญในเมืองไทยยุคของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเก่าก่อนสมัยใหม่ (pre-modern) สู่สมัยใหม่ เข้าใจว่าท่านที่ศึกษาและคุ้นเคยกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือในสมัยรัชกาลที่ 4, 5, 6 คงจะเห็นได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากของสังคมไทยในการปรับตัวเข้าสู่ความเป็นสังคมสมัยใหม่ คือกฎหมายที่วิธีพิจารณาความยังเป็นแบบสังคมศักดินาอยู่ คือ พิสูจน์ด้วยการดำน้ำ ลุยไฟ ตลอดจนวิธีการจองจำ หรือการไต่สวนอย่างทรมานทรกรรม ดังนั้นหากจะได้รับการยอมรับว่าเป็น “อารยะ” เท่าเทียมกับนานาประเทศจะต้องมีการร่างพระราชบัญญัติหรือกฎหมายต่างๆขึ้นมาใหม่ ใช้แทนกฎหมายเก่าที่เรามีอยู่ทั้งหมด
ดังนั้น ลักษณะของการเรียนที่ธรรมศาสตร์ก็เน้นเรื่องกฎหมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว มีการเรียนกฎหมายทั่วไป กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา แต่ที่ใหม่เข้ามาตอนนั้นก็คือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ แน่นอนเมื่อธรรมศาสตร์เกิดมาหลัง 2475 กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งแต่เดิมต้องแอบแฝงอยู่ในกฎหมายปกครองในสมัยราชาธิปไตย ก็สามารถปราฏตัวออกเป็นวิชาอิสระของตัวเองได้ ไม่ต้องแอบอิงอยู่กับกฎหมายปกครองอีกต่อไป นอกจากนี้ก็ยังมีการศึกษาวิชาต่างๆนอกเหนือจากกฎหมายอีก วิชาเหล่านี้เป็นวิชาต้องห้ามไม่มีการสอนในสมัยราชาธิปไตย เช่น วิชาลัทธิเศรษฐกิจ วิชาเศรษฐศาสตร์ สรุปแล้วการศึกษาเน้นที่กฎหมายก็จริง แต่การศึกษาจะกว้างขวางกว่าเดิมมีวิชาอื่นๆที่ต้องห้ามประกอบด้วย

หลักสูตรปริญญาตรีของธรรมศาสตร์นั้นมีปริญญาเดียว คือ ธรรมศาสตร์บัณฑิต เมื่อวันเปิดมหาวิทยาลัย คือ วันที่ 27 มิถุนายน 2477 นั้น มีสูจิบัตรแจก เป็นสูจิบัตรพิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีกรุงชื่อว่า “แนวการศึกษาชั้นปริญญาตรี โท และเอก แห่งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” (ดูเอกสารดังกล่าวที่ตีพิมพ์โดยโรงพิมพ์ศรีกรุง และนำมาพิมพ์ซ้ำในธรรมศาสตร์ 50 ปี)
หมายความว่าเมื่อเปิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นมีโครงการถึงปริญญาเอก แล้วก็ ดำเนินการไปเลย ในปริญญาตรีอย่างที่เราทราบกันมีปริญญาเดียว คือธรรมศาสตร์บัณฑิต (ธ.บ.) ปริญญาโทแตกออกไปเป็น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ (ส่วนทางด้านการบัญชีนั้นต่อมาจะมีประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชี เทียบเท่าปริญญาโท) ในระดับปริญญาเอกก็มีสี่แขนงเช่นเดียวกัน คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต ในระดับปริญญาตรีและโทนั้นมีการเรียนการสอน ส่วนในระดับปริญญาเอกไม่มีการเรียนการสอน (แบบยุโรป) ถ้าจะลองดูจากหลักสูตรปริญญาเอก จะมีดังนี้
ให้ทำการค้นคว้าจากภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ค้นคว้าจนเป็นที่น่าพอใจ
ให้แต่งตำราเป็นภาษาไทย ถ้าจะแปลความในสมัยปัจจุบันก็คือเขียนวิทยานิพนธ์ แล้วก็สอบปากเปล่า เมื่อกรรมการพอใจ ก็ได้รับปริญญาเอกไป
อันนี้เป็นสิ่งที่คิดว่ามหัศจรรย์มาก ธรรมศาสตร์เกิดขึ้นมา พ.ศ. 2477 มีถึงปริญญาเอกทันที น่าเสียดายที่ต่อมาปริญญาเอกหายไป ได้สัมภาษณ์บุคคลบางคนที่ได้ปริญญาเอก เช่น ดร. บรรจบ อิศดุลย์ ซึ่งเคยสอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ ถามท่านว่ามันหายไปไหน ท่านก็บอกไม่ทราบเหมือนกันอยู่ดี ๆ มันก็หายไปดื้อ ๆ เหลือแต่ปริญญาโท ถ้าจะมีปริญญาเอกคงต้องมาตั้งต้นกันใหม่ (ดังที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้)
ทีนี้ กลับไปในเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ธรรมศาสตร์เน้นเรื่องกฎหมาย ทำไมธรรมศาสตร์เน้นเรื่องกฎหมาย เข้าใจว่าท่านผู้ประศาสน์การคงมีปรัชญาในการก่อตั้ง เพื่อที่จะวางรากฐานลัทธิรัฐธรรมนูญ แปลความว่าเพื่อขจัดสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นอัตตาธิปไตยหรือคณาธิปไตย โดยให้มีกฎเกณฑ์เป็นหลัก หรือจะใช้คำเก่า จะใช้คำอะไร คงบอกว่าให้มี “ธรรมะ” ที่เป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ดังนั้นจุดเริ่มต้นของธรรมศาสตร์จึงมาจากเรื่องกฎหมาย ลองสังเกตดูและเห็นว่า คำว่า “ธรรมะ” นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว ยังจะมีควบคู่ไปกับธรรมศาสตร์อยู่ตลอดเวลา ทั้งในเรื่องปรัชญาพื้นฐานและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในเรื่องของเพลงมหาวิทยาลัย และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับธรรมศาสตร์ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อนข้างเป็นนามธรรมที่จะสร้างกฎเกณฑ์ให้แก่สังคมไทยสมัยใหม่
ในหัวข้อของปรัชญานี้ เมื่อดูจากการเลือกใช้ชื่อ ธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นชื่อมหาวิทยาลัย เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งหนึ่งที่จะบอกถึงปรัชญาของการก่อตั้ง ดังที่กล่าวแล้วแต่ตอนต้น ผมพยายามที่จะไปสัมภาษณ์ท่านผู้ประศาสน์การ ทำไมท่านให้ชื่อมหาวิทยาลัยอย่างนี้ ทำไมเลือกสีเหลืองและแดง ฯลฯ แต่ผมก็บุญน้อยมิได้สัมภาษณ์อย่างที่กล่าวแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องลองดูจากเอกสารรอบตัว ในแง่นี้ ความคิดการก่อตั้ง การใช้ชื่อนี้มีภูมิหลังอย่างไร คำว่า ธรรมศาสตร์ หมายถึง กฎหมายที่เป็นแม่บทวางระเบียบสังคมสมัยเก่า ท่านปรีดีคงดึงเอามาใช้ในสมัยใหม่ เราเห็นได้ชัดเลย มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นสถาบันแรกที่นำกฎหมายตราสาม-ดวงที่รวบรวมขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก พร้อมทั้งมีคำนำในการจัดพิมพ์ครั้งนั้นโดยท่านผู้ประศาสน์การ กฎหมายตราสามดวงนี้เราก็ทราบดีว่ามีพระธรรมศาสตร์เป็นหัวใจของกระบวนกฎหมายทั้งหมด นี่เป็นการดึงเอาสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์ของสังคมเก่ามาใช้ (คำว่าธรรมศาสตร์นี้ในสมัยใหม่เริ่มเปลี่ยนความหมายไปบ้าง กลายเป็นแปลว่า กฎหมายทั่ว ๆ ไปก็ได้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น