วิวัฒนาการของการบริหารท้องถิ่นไทย
วิวัฒนาการของการบริหารท้องถิ่นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
การบริหารประเทศภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยปกติมักมีการรวมอำนาจสูง แต่สำหรับประเทศไทยกลับปรากฏว่าการกระจายอำนาจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั้งนี้อาจจำแนกวิวัฒนาการเป็น 4 ช่วงเวลา คือ
1. การบริหารราชอาณาจักรในอดีต
การจัดระเบียบราชอาณาจักรไทยในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การรวบรวมอำนาจให้เป็นปึกแผ่นเพื่อสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งและมั่นคง แนวคิดที่จะกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองยังไม่ปรากฏ
1.1 สมัยสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัย จัดระเบียบเมืองต่างๆ ในพระราชอาณาเขต แบ่งเป็นราชธานีเป็นศูนย์กลางในการปกครองราชอาณาจักร หัวเมืองชั้นในหรือเมืองลูกหลวงตั้งอยู่ล้อมรอบราชธานี มีพระบรมวงศานุวงศ์เป็นผู้ดูแล ภายใต้การอำนวยการปกครองของพระมหากษัตริย์ หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร เป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากราชธานีออกไป มีพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองเมือง มีอำนาจอิสระในการบริหารและมีอำนาจเหนือเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆกันด้วย แต่จะต้องขึ้นกับสุโขทัยโดยต้องส่งส่วยและเกณฑ์กำลังไพร่พลไว้คอยช่วยเหลือเมืองหลวง ลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ามีการกระจายอำนาจในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย
1.2 สมัยอยุธยา อาณาจักรอยุธยาในระยะแรกจัดระเบียบบ้านเมืองคล้ายกับอาณาจักรสุโขทัย คือแบ่งเป็นราชธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการปกครองราชอาณาจักร หัวเมืองชั้นในหรือเมืองหลวง หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราช
ต่อมาอาณาจักรอยุธยาขยายตัวกลายเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ มีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าเดิม การจัดระเบียบบ้านเมืองมีลักษณะการรวมอำนาจที่รัดกุมและแน่นแฟ้นกว่าสมัยสุโขทัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากอยุธยามีอำนาจแข็งแกร่ง สามารถแผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมทั้งอาณาจักร
1.3 สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น แนวคิดของผู้คนสมัยนี้ นอกจากจะต้องการความมั่นคงปลอดภัยและความสงบสุขแล้ว ยังมีความต้องการเป็นอย่างยิ่งที่จะฟื้นฟูความเจริญให้เหมือนสมัยอยุธยา มีการสร้างวัด สร้างวัง กำหนดกฎหมายและจัดระเบียบบริหารบ้านเมืองโดยมีกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นแบบ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีแนวพระราชดำริที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัย มีการริเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับความเป็นอยู่และสิทธิของประชาชน เช่นการยกเลิกเก็บอากรตลาด การผ่อนภาระค่านา การปกป้องฐานะของสตรี การคุ้มครองสิทธิของทาส เป็นต้น และทรงลดพระราชอำนาจที่เป็นสิทธิขาดของพระมหากษัตริย์ลงหลายประการ
2. การริเริ่มจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสืบทอดพระราชปณิธานในสมเด็จพระบรมราชชนก ในการปรับปรุงพัฒนาประเทศให้มั่นคงพร้อมๆ กับการพัฒนาความเป็นอยู่ตลอดจนสิทธิของราษฎร เพื่อความมั่นคงของประเทศโดยมีแนวพระราชดำริที่จะรวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลาง และจัดระเบียบการบริหารประเทศให้เป็นระบบและมีเอกภาพมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาพ และส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทรงดำเนินกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น การยกเลิกระบบทาส และระบบไพร่ การส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน และมีการจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ และสุขาภิบาลท่าฉลอม ซึ่งเป็นก้าวแรกของการที่ประชาชนจะมีอำนาจบริหารท้องถิ่นของตนเอง
2.1 สุขาภิบาลกรุงเทพฯ การดำเนินการบริหารท้องถิ่นในประเทศไทย ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวง มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เกิดปัญหาความสกปรก โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งก่อสร้างที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ใน พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายว่าด้วยการจัดกิจการท้องถิ่นฉบับแรก คือ พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ เพื่อทำหน้าที่หลักในด้านการรักษาความสะอาดและป้องกันโรคในแขวงพระนคร โดยรับผิดชอบจัดดำเนินการทำลายขยะมูลฝอย จัดสถานที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะสำหรับราษฎรทั่วไป ห้ามการปลูกสร้างหรือซ่อมแซมโรงเรือนที่จะเป็นเหตุให้เกิดโรค และขนย้ายสิ่งโสโครกที่ทำความรำคาญให้กับราษฎรไปทิ้ง แม้ว่าสุขาภิบาลกรุงเทพฯ จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ายังไม่เป็นไปตามหลักการปกครองท้องถิ่นอย่างแท้จริง เพราะผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารกิจการสุขาภิบาลกรุงเทพฯ เพื่อบริหารกิจการของท้องถิ่น นับว่าเป็นก้าวแรกที่พัฒนาไปสู่การบริหารท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพต่อไป
2.2 สุขาภิบาลท่าฉลอม ใน พ.ศ. 2448 ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนชาวท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร ได้ร่วมกันพัฒนาความสะอาดเรียบร้อยในตำบล โดยได้เรี่ยไรกันจัดซื้ออิฐปูถนน มีความยาวถึง 11 เส้น 14 วา กว้าง 2 วา ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “ถนนถวาย” และเพื่อให้ชาวบ้านตลาดท่าฉลอมร่วมมือกันทำนุบำรุงท้องถิ่นของตนเองต่อไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสุขาภิบาลขึ้น ณ ตำบลบ้านตลาดท่าฉลอม เมืองสมุทรสาคร และได้พระราชทานเงินรายได้จากภาษีโรงร้านในตลาดท่าฉลอมให้สุขาภิบาลนำมาใช้เป็นทุนในการบริหารท้องถิ่นตามอำนาจหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ การซ่อมแซมบำรุงถนนหนทาง การจุดโคมไฟให้ความสว่างในเวลากลางคืน และการจัดหาคนงานเก็บกวาดขยะมูลฝอย กิจการสุขาภิบาลจึงได้เริ่มมีขึ้นในหัวเมืองเป็นครั้งแรก โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสุขาภิบาลท่าฉลอมขึ้น คือการรวมตัวกันของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พ่อค้าประชาชนชาวท่าฉลอม การจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมไม่ได้เกิดจากการริเริ่มของส่วนราชการส่วนกลาง แต่เกิดแนวคิดของประชาชนในท้องถิ่นที่รวมตัวกันและริเริ่มดำเนินกิจกรรมท้องถิ่นขึ้นก่อน จากนั้นส่วนกลางจึงเข้ามาส่งเสริมสนับสนุนและกระจายอำนาจบริหารให้แก่ท้องถิ่น การจัดตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอม นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการดำเนินกิจการท้องถิ่นโดยกลุ่มผู้นำท้องถิ่นเองเป็นครั้งแรก สุขาภิบาลท่าฉลอมจึงเป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่มีลักษณะเป็นองค์กรปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่น
3. การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหัวเมือง
ในปี พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 ขึ้นใช้บังคับทั่วพระราชอาณาจักร พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้ต่อเนื่องมาจนเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติฉบับนี้ ใน พ.ศ. 2458
3.1 การประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 ใน พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 การประกาศพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้มีเป้าหมายที่จะเร่งรัดให้มีการจัดตั้งสุขาภิบาล มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่จะใช้เป็นการทั่วไปสำหรับการจัดตั้งและดำเนินกิจการสุขาภิบาล ทั้งนี้ เมื่อข้าหลวงเทศาภิบาลเห็นสมควรจัดการสุขาภิบาลขึ้นในหัวเมืองใด ก็ให้ปรึกษาหารือกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้เป็นหัวหน้าราษฎรในท้องถิ่นนั้น แล้วจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดการสุขาภิบาลขึ้นในท้องที่นั้นเป็นราย ๆ ไป สุขาภิบาลตามพระราชบัญญัติ ฯ นี้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
สุขาภิบาลสำหรับเมือง จัดตั้งในท้องที่เมืองที่มีความเจริญมาก บริหารงานโดยคณะกรรมการ จำนวน 9 คน ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการเมือง เป็นประธาน ปลัดเมือง เป็นเลขานุการ นายอำเภอ นายแพทย์สุขาภิบาล หัวหน้าพนักงานการศึกษาในเมือง และกำนันในเขตสุขาภิบาล จำนวน 4 คน เป็นกรรมการ หากท้องถิ่นมีกำนันไม่ครบ 4 คน ก็ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลมีอำนาจเลือกกำนันพิเศษจากบุคคลในท้องที่ที่มีส่วนเสียภาษีโรงร้าน จนครบจำนวน
สุขาภิบาลสำหรับตำบล จัดตั้งในท้องที่มีลักษณะเป็นชุมชนหนาแน่น และมีความเจริญอยู่เฉพาะในตำบล บริหารงานประกอบด้วยกำนันนายตำบล เป็นประธาน และผู้ใหญ่บ้าน ในเขตท้องที่สุขาภิบาล เป็นกรรมการ
อำนาจหน้าที่ที่สำคัญของทั้ง 2 ประเภท ได้แก่ การรักษาความสะอาด การป้องกันโรคและรักษาความเจ็บไข้ การบำรุงและรักษาทางไปมา และการศึกษาชั้นต้นของราษฎร
3.2 การประกาศแก้ไขพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 ในสมัยรัชกาลที่ 6 แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ มากมาย แต่สำหรับการจัดการบริหารท้องถิ่นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของหลักการและวิธีการ เนื่องจาก พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 217 เพิ่งประกาศใช้ได้เพียง 2 ปี และเพิ่งจะมีการจัดตั้งสุขาภิบาลได้เพียง 7 แห่ง แนวพระราชดำริในการบริหารท้องถิ่นจึงมีลักษณะเป็นการสืบทอดแนวพระราชดำริในรัชกาลก่อน พร้อมทั้งยังพยายามพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในรัชกาลนี้ได้มีการจัดตั้งสุขาภิบาลเพิ่มขึ้นอีก 19 แห่ง และมีการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดสุขาภิบาลตามหัวเมืองโดยมีเป้าหมายเพื่อขยายกิจการสุขาภิบาลและส่งเสริมให้สุขาภิบาลมีความคล่องตัวในการบริหารงานมากขึ้น ใน พ.ศ. 2458 ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 โดยกำหนดให้สุขาภิบาลมีอำนาจหน้าที่เพิ่มขึ้น คือ จดทะเบียนคนเกิด คนตาย และการทะเบียนต่างๆ ในเขตสุขาภิบาล และได้แบ่งสุขาภิบาลเป็น 2 ประเภท
ประเภทแรก คือ สุขาภิบาลเมือง มีหลักเกณฑ์ในการจัดตั้งและมีโครงสร้างเช่นเดียวกับสุขาภิบาลสำหรับเมืองตามที่พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 กำหนดไว้แต่แรก
ประเภทที่ 2 เรียกว่าสุขาภิบาลท้องที่ เปิดโอกาสให้พื้นที่หลายตำบลที่มีเขตพื้นที่ที่เจริญต่อเนื่องกัน สามารถรวมกันจัดตั้งสุขาภิบาลร่วมกันได้ สุขาภิบาลสำหรับตำบลจึงเท่ากับถูกยกเลิกไปโดยปริยาย สุขาภิบาลท้องที่มีคณะกรรมการประกอบด้วย นายอำเภอท้องที่ เป็นประธาน นายแพทย์สุขาภิบาล ปลัดอำเภอ และกำนันในท้องที่เขตสุขาภิบาล เป็นกรรมการ
4. การเตรียมการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบใหม่
ความพยายามที่จะปรับปรุงพัฒนาการบริหารท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการบริหารท้องถิ่นแบบสากลปรากฏอย่างชัดเจนในสมัยพระบาลสมเด็จปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากการที่ทรงทดลองจัดตั้ง “สภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตก” ใน พ.ศ. 2469 และทรงเตรียมการที่จะจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลในลักษณะที่สอดคล้องกับการบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย
4.1 สภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตก หลังจากที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 ใน พ.ศ. 2451 ได้มีการขอจัดตั้งสุขาภิบาลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นการเพิ่มจำนวนอย่างช้า ๆ ไม่รีบเร่ง ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะให้สุขาภิบาลเกิดขึ้นโดยความยินยอมพร้อมใจของราษฎรในท้องถิ่น ใน พ.ศ. 2469 รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทดลองจัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใหม่ เรียกว่า “สภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตก” ในพื้นที่แถบชายทะเลตั้งแต่ตำบลบ้านชะอำลงไปถึงตำบลหัวหิน สภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลตะวันตกนี้เป็นองค์การที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ในการบำรุงถนนหนทาง การประปา ไฟฟ้า การวางผังเมือง และการสาธารณสุข
4.2 ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล ใน พ.ศ. 2470 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เรียกว่า คณะกรรมการจัดการประชาภิบาล ทำหน้าที่ศึกษาพิจารณาปรับปรุงการสุขาภิบาล ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ได้ศึกษาดูงานองค์การบริหารท้องถิ่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และได้เสนอรายงานอันเป็นแนวทางปรับปรุงพัฒนาการสุขาภิบาล ซึ่งจะเรียกชื่อใหม่ว่า การประชาภิบาล หรือ เทศบาล
พระราชประสงค์ในการจัดตั้งเทศบาลนี้เป็นที่ปรากฏชัดว่าทรงมีเป้าหมายเพื่อเตรียมการสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ดังแนวพระราชดำริที่ว่า “มันจะเป็นการดีแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ที่เขาจะเริ่มต้นด้วยการควบคุมกิจการของท้องถิ่น ก่อนที่พวกเขาพยายามที่จะควบคุมกิจการของรัฐโดยผ่านทางรัฐสภาทรงมีแนวพระราชดำริมุ่งเน้นที่จะให้เทศบาลเป็นโรงเรียนสอนประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้ราษฎรได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจและฝึกฝนตนเอง โดยการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่น ก่อนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับชาติ จะเห็นได้ว่าการเตรียมการจัดตั้งเทศบาลดำเนินไปอย่างมีระบบ โดยเริ่มจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของผู้นำประเทศ
วิวัฒนาการของการบริหารท้องถิ่นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลมีแผนที่จะจัดตั้งเทศบาลขึ้นในทุกตำบลทั่วประเทศ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องรื้อฟื้นกิจการสุขาภิบาลขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2495 หลังจากนั้นได้จัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้นใน พ.ศ. 2498 เพื่อบริหารกิจการท้องถิ่นในพื้นที่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล ต่อมาใน พ.ศ. 2499 รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลขึ้นในตำบลที่มีความเจริญ องค์การบริหารส่วนตำบลนี้ได้ถูกยุบเลิกไปใน พ.ศ. 2515 และมีการรื้อฟื้นจัดตั้งขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2537
1. การจัดตั้งเทศบาล
ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 กำหนดให้มีการจัดการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาลทั่วทั้งประเทศ แต่ปรากฏว่าการดำเนินการมีปัญหาอุปสรรคทำให้ต้องแก้ไขกฎหมายและตรากฎหมายใหม่หลายครั้งเพื่อปรับปรุงรูปแบบโครงสร้างและวิธีการบริหารงานให้เหมาะสม
1.1 เทศบาล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ในการประกาศพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 รัฐบาลมีความมุ่งหมายที่จะจัดตั้งเทศบาล คือ เทศบาลนคร เทศบาลเมืองและเทศบาลตำบล ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยจะยกฐานะตำบลต่างๆ ที่มีอยู่ประมาณ 4,800 ตำบล ขึ้นเป็นเทศบาลทั้งหมด และต้องการที่จะให้มีการจัดการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาลเพียงอย่างเดียว รวมทั้งได้ประกาศยุบเลิกการสุขาภิบาลด้วย
เทศบาลทั้ง 3 ชั้น จัดโครงสร้างโดยแบ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร คล้ายกับโครงสร้างของรัฐบาลระดับชาติ ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สภาตำบล ในเทศบาลตำบล สภาเมือง ในเทศบาลเมือง และสภานคร ในเทศบาลนคร ซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายบริหาร ได้แก่ คณะมนตรีตำบล ในเทศบาลตำบล คณะมนตรีเมือง ในเทศบาลเมือง และคณะมนตรีนคร ในเทศบาลนคร มีจำนวน 3-5 คน ประกอบด้วยนายกมนตรีฯ และมนตรีฯ ซึ่งค่าหลวงประจำจังหวัดแต่งตั้ง โดยความเห็นชอบของสภาฯ
1.2 เทศบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2481 พ.ศ. 2486 และ พ.ศ. 2496 การจัดตั้งเทศบาลดำเนินไปอย่างยากลำบาก เทศบาลที่จัดตั้งแล้วแต่ละแห่งก็ประสบปัญหาอุปสรรค รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกและประกาศใช้พระราชบัญญัติเทศบาลใหม่ถึง 3 ครั้ง ใน พ.ศ. 2481 พ.ศ. 2486 และ พ.ศ. 2496 เพื่อแก้ไขปัญหาความยุ่งยากในการบริหารงานของเทศบาล
พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2481 กำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลไว้อย่างตายตัว คือ สภาเทศบาลตำบลมีสมาชิก 9 คน สภาเทศบาลเมือง มีสมาชิก 18 คน และสภาเทศบาลนคร มีสมาชิก 36 คน ส่วนพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2486 กำหนดให้เพิ่มจำนวนสมาชิกสภาเทศบาล เป็น 12 คน 24 คน และ 48 คน ในเขตสภาเทศบาลตำบล เมือง และนคร ตามลำดับ
พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 กำหนดจำนวนสมาชิกสภาเทศบาลตำบล 12 คน สภาเทศบาลเมือง 18 คน และสภาเทศบาลนคร 24 คน และกำหนดว่านายกเทศมนตรี และเทศมนตรี ต้องเป็นสมาชิกสภาเทศบาล เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ในวาระแรก ได้กำหนดให้มีสมาชิกสภาเทศบาล 2 ประเภท ประเภทแรก มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนจำนวนครึ่งหนึ่ง ประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2499 ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้สมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ส่วนคณะเทศมนตรี ประกอบด้วยนายกเทศมนตรี และเทศมนตรีจำนวน 2-4 คน มาจากความเห็นชอบของสภาเทศบาล
2. การรื้อฟื้นกิจการสุขาภิบาล
ความพยายามที่จะจัดตั้งเทศบาลให้เต็มพื้นที่ของประเทศ โดยยกฐานะตำบลทั่วประเทศขึ้นเป็นเทศบาลไม่ประสบผลสำเร็จ ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ในระหว่าง พ.ศ. 2476 – 2488 รัฐบาลสามารถจัดตั้งเทศบาลได้เพียง 117 แห่ง รัฐบาลจึงแก้ไขปัญหาโดยหันมารื้อฟื้นกิจการสุขาภิบาลขึ้นใหม่
2.1 สุขาภิบาล ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 จากการที่รัฐบาลไม่สามารถขยายกิจการเทศบาลให้แพร่หลายเพิ่มขึ้นได้ ในพ.ศ. 2495 รัฐบาลจึงหันมารื้อฟื้นกิจการสุขาภิบาลขึ้นใหม่ ได้พิจารณาเห็นว่าการจัดสุขาภิบาล จัดได้ง่ายและประหยัดกว่าเทศบาล การจัดสุขาภิบาลในยุคนี้ มีเป้าหมายที่จะให้สุขาภิบาลเป็นตัวเร่งความเจริญของท้องถิ่น และเมื่อท้องถิ่นมีความเจริญเพียงพอ ก็สามารถจะยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาลต่อไป และมุ่งหมายที่จะให้สุขาภิบาลเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในวิถีประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน ควบคู่ไปกับการพัฒนาความเจริญให้แก่ท้องถิ่น
โครงสร้างของสุขาภิบาล ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 ประกอบด้วย คณะกรรมการสุขาภิบาล มีกรรมการแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ นายอำเภอเจ้าของท้องที่ เป็นประธานกรรมการ หัวหน้าสถานีตำรวจฯ สาธารณสุข และสมุห์บัญชีอำเภอ หรือกิ่งอำเภอที่สุขาภิบาลนั้นตั้งอยู่ และกำนัน ผู้ใหญ่บ้านของตำบลหมู่บ้านในเขตสุขาภิบาลนั้น กรรมการโดยการแต่งตั้ง ได้แก่ ปลัดอำเภอที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง และกรรมการโดยการเลือกตั้งซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 4 คน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี
2.2 สุขาภิบาล ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 ใน พ.ศ. 2528 ได้มีการเสนอแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการสุขาภิบาลให้มีลักษณะของการปกครองตนเองสูงขึ้น และได้มีการตราพระราชบัญญัติสุขาภิบาล (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 กำหนดโครงสร้างคณะกรรมการสุขาภิบาลใหม่ ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ นายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอที่สุขาภิบาลตั้งอยู่ในท้องที่ และกำนันตำบลที่อยู่ในเขตสุขาภิบาล มีปลัดอำเภอที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง 1 คน เป็นกรรมการโดยการแต่งตั้งและกรรมการที่ราษฎรในท้องที่เลือกตั้ง จำนวน 9 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยนายอำเภอ หรือปลัดฯหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นประธานคณะกรรมการโดยตำแหน่ง และมีรองประธานคณะกรรมการ 1 คน ซึ่งคณะกรรมการประชุมกันเลือกจากกรรมการที่ราษฎรเลือกตั้ง อยู่ในตำแหน่งคราวละ 1 ปี
3. การจัดการบริหารท้องถิ่นระดับจังหวัด
3.1 สภาจังหวัด พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 กำหนดให้แต่ละจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยราษฎรในอำเภอต่างๆ ในเขตจังหวัดนั้น มีอำนาจหน้าที่หลักเกี่ยวกับการงบประมาณของจังหวัด และการแบ่งสรรเงินอุดหนุนของรัฐบาลระหว่างเทศบาลในจังหวัด ตลอดจนเสนอข้อแนะนำต่อรัฐบาลในเรื่องการเงิน และเรื่องอื่นๆ ของเทศบาลในจังหวัด ต่อมาใน พ.ศ. 2481 ได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาจังหวัด แยกสภาจังหวัดออกจากกฎหมายเทศบาลและกำหนดให้สภาจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในเรื่องการตรวจและรายงานเรื่องงบประมาณ การแบ่งสรรเงินอุดหนุนระหว่างเทศบาล และให้คำปรึกษาต่อคณะกรรมการจังหวัด
3.2 องค์การบริหารส่วนจังหวัด จากการพัฒนาท้องถิ่นให้สามารถยกฐานะเป็นเทศบาลไม่ประสบผลสำเร็จดังเป้าหมาย เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวจึงไม่มีโอกาสปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น ใน พ.ศ. 2498 รัฐบาลจึงประกาศจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบพื้นที่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาลของแต่ละจังหวัด
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 กำหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นเอกเทศ มีงบประมาณ และเจ้าหน้าที่ในการดำเนินกิจการส่วนจังหวัด ซึ่งแยกออกเป็นส่วนต่างหากจากราชการแผ่นดิน โครงสร้างองค์กรแบ่งเป็น 2 ฝ่ายเหมือนเทศบาล คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่สภาจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรแต่ละอำเภอในจังหวัดเลือกตั้ง จำนวนสมาชิกสภาจังหวัดถือตามเกณฑ์จำนวนประชากรในเขตพื้นที่นั้นๆ อยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี ส่วนฝ่ายบริหารมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้ารับผิดชอบโดยตำแหน่ง
4. การจัดระเบียบการบริหารตำบล
โดยเริ่มจัดระเบียบบริหารตำบลใหม่ใน พ.ศ. 2499 และในปลายปีเดียวกันนั้นก็มีการประกาศกฎหมาย เพื่อจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใน พ.ศ. 2509 ได้มีการปรับปรุงรูปแบบการบริหารตำบลใหม่ให้กะทัดรัดกว่าเดิม และจัดรูปแบบบริหารตำบลเป็นแบบเดียวกัน คือ สภาตำบล ทั่วประเทศโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2515 จนกระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลใน พ.ศ. 2537
4.1 การจัดระเบียบบริหารตำบล ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 222/2499 กระทรวงมหาดไทยได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงการจัดระเบียบบริหารตำบลใน พ.ศ. 2499 โดยมีคำสั่งให้ขยายโครงสร้างของคณะกรรมการตำบล ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ กำหนดให้บุคคลที่มีบทบาทในการบริหารตำบลเข้ามามีส่วนร่วมเป็นกรรมการเพื่อประสิทธิภาพในการบริหารกิจการของตำบล และจัดตั้งสภาตำบล ขึ้นในทุกตำบลนอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล เพื่อเปิดโอกาสให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการบริหารและพัฒนาตำบล
4.2 องค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล พ.ศ. 2499 ปลายปี 2499 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนตำบล พ.ศ. 2499 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลขึ้นในตำบลที่มีความเจริญและมีความสามารถที่จะดำเนินกิจการของท้องถิ่นเองได้ องค์การบริหารส่วนตำบลมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเป็นนิติบุคคล มีโครงสร้างประกอบด้วย สภาตำบล ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านทุกคนในตำบลเป็นสมาชิกโดยตำแหน่ง และมีสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งหมู่บ้านละ 1 คน และคณะกรรมการตำบล ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร มีกำนันท้องที่เป็นประธาน แพทย์ประจำตำบล และผู้ใหญ่บ้าน เป็นกรรมการ ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งจากครูใหญ่โรงเรียนในตำบลหรือผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 5 คน
4.3 คณะกรรมการสภาตำบล ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 275/2499 ใน พ.ศ. 2509 กระทรวงมหาดไทยได้พัฒนารูปแบบโครงสร้างการบริหารตำบลขึ้นใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่าคณะกรรมการสภาตำบล กำหนดให้ตำบลต่างๆตามที่กระทรวงมหาดไทยระบุ จัดดำเนินการบริหารตำบลภายใต้รูปแบบโครงสร้างแบบใหม่ ซึ่งประกอบด้วยองค์กรเดียว ไม่มีการแยกฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารออกจากกัน คณะกรรมการสภาตำบล มีกำนันเป็นแพทย์ประจำตำบล และผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในเขตตำบลเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง มีกรรมการที่นายอำเภอแต่งตั้ง โดยคัดเลือกจากครูประชาบาลในตำบล 1 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งราษฎรเลือกตั้งหมู่บ้านละ 1 คน
4.5 สภาตำบล ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 326/2515 ภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2515 คณะปฏิวัติได้พิจารณาเห็นว่าในขณะนั้นมีการจัดระเบียบบริหารตำบลแตกต่างกันหลายรูปแบบ สมควรจัดใหม่ให้เป็นรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศ จึงมีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 326 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 สั่งให้จัดระเบียบบริหารตำบลในรูปแบบใหม่เรียกว่า สภาตำบล ประกอบด้วยองค์กรเดียว คือ คณะกรรมการสภาตำบล มีกำนันเป็นประธาน แพทย์ประจำตำบล และผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่ในตำบล เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่ละ 1 คน มีครูประชาบาล 1 คน ทำหน้าที่เลขานุการ และมีปลัดอำเภอ หรือพัฒนากร 1 คน เป็นที่ปรึกษา
4.6 สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ปลายปี พ.ศ. 2537 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 กำหนดให้แต่ละตำบลบริหารงานโดยสภาตำบล ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล และหากสภาตำบลมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ติดต่อกัน 3 ปี ก็อาจจัดตั้งเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล
สภาตำบล ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ประกอบด้วยองค์กรเดียว ไม่มีการแยกฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร มีกำนันเป็นประธาน แพทย์ประจำตำบล และผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่ในตำบล เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่ละ 1 คน และมีเลขานุการซึ่งแต่งตั้งจากข้าราชการที่ปฏิบัติงานในตำบลหรือบุคลอื่นที่มีคุณสมบัติ ตามมติของสภาตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบล มีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีโครงสร้างแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย สภาองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ประกอบด้วยสมาชิกโดยตำแหน่ง ได้แก่ กำนัน แพทย์ประจำตำบล และผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่ในตำบล และสมาชิกซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากราษฎรหมู่บ้านละ 2 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวนไม่เกิน 2 คน และสมาชิกสภาฯที่ราษฎรเลือกตั้ง จำนวนไม่เกิน 4 คน ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งตามมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
5. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ
5.1 กรุงเทพมหานคร การจัดการปกครองกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นราชธานีนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ ทรงโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯขึ้นเพื่อดำเนินกิจการท้องถิ่นในท้องที่เขตพระนคร ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เมื่อรัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 และได้กำหนดให้สุขาภิบาลที่มีอยู่ทั้งหมดเปลี่ยนฐานะเป็นเทศบาล ใน พ.ศ. 2479 จึงได้มีการจัดตั้ง เทศบาลนครกรุงเทพฯ ขึ้นแทน มีโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2476 และหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ก็ได้มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนคร ขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ เช่นกัน หลังการปฏิวัติ
2.4 เมืองพัทยา ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2521 เมืองพัทยาจัดองค์การแบบผู้จัดการนคร สภาเมืองพัทยาประกอบด้วยสมาชิกสภาเมืองพัทยา 2 ประเภท รวม 17 คน ดังนี้
(1) สมาชิกโดยการเลือกตั้งของราษฎรในเขตเมืองพัทยา จำนวน 9 คน
(2) สมาชิกโดยการแต่งตั้ง จำนวน 8 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แต่งตั้งจาก
- สาขาอาชีพต่างๆ จำนวน 4 คน
- ตัวแทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คน
โครงสร้างเมืองพัทยา ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ได้ยกเลิกการจัดโครงสร้างแบบผู้จัดการนคร และใช้โครงสร้างแบบสภา – นายกเทศมนตรี ประกอบด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สภาเมืองพัทยา ซึ่งมีสมาชิก 24 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และฝ่ายบริหาร คือ นายกเมืองพัทยา มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเช่นเดียวกัน
การปฏิรูปด้านอำนาจท้องถิ่น
องค์ประกอบที่สำคัญของการบริหารท้องถิ่นตามระบอบประชาธิปไตย คือ อำนาจอิสระในการปกครองตนเองของท้องถิ่น
1. อำนาจท้องถิ่นกับอำนาจรัฐบาล
การทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจอิสระในการปกครองตนเองของท้องถิ่นของตนเองเพิ่มขึ้นนั้น จะต้องดำเนินการปรับปรุงด้านอำนาจ 2 ประการ ดังนี้
(1) การลดอำนาจส่วนกลาง การลดอำนาจส่วนกลางกระทำได้ 2 ลักษณะ คือ
- จำกัดอำนาจของส่วนกลางไม่ให้เข้าไปควบคุม ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการบริหารงานของท้องถิ่นมากจนเกินไปจนทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ
- ลดอำนาจหน้าที่ของส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะในกิจการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยองค์กรของรัฐในส่วนกลาง กิจการใดที่สมควรให้ท้องถิ่นดำเนินการ ก็กระจายอำนาจและหน้าที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการบนพื้นฐานเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
(2) การเพิ่มอำนาจท้องถิ่น การเพิ่มอำนาจของท้องถิ่นให้มากขึ้นกระทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ
- เพิ่มอำนาจอิสระของท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารและดำเนินกิจการชองท้องถิ่นได้อย่างเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารงานบุคคลของท้องถิ่น ซึ่งทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลของตนเองมากขึ้น
- เพิ่มอำนาจหน้าที่ท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการที่ควรอยู่ในอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น ทำให้การดำเนินกิจการสาธารณะในท้องถิ่นเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
2. การปรับปรุงอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น พ.ศ. 2542
อำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร
อำนาจฯ ของเทศบาล เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนตำบล อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
1. การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
2. การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ
3. การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม และที่จอดรถ
4. การสาธารณูปโภคและการก่อสร้างอื่นๆ
5. การสาธารณูปการ
6. การส่งเสริมการฝึก และการประกอบอาชีพ
7. กA4วบคุมการเลี้ยงสัตว์
22. การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์
23. การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
24. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
25. การผังเมือง
26. การขนส่งและการวิศวกรรมจราจร
27. การดูแลรักษาที่สาธารณะ
28. การควบคุมอาคาร
29. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
30. การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
31. กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
13. การจัดการและดูแลสถานีขนส่งทางบกและทางน้ำ
14. การส่งเสริมการท่องเที่ยว
15. การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน และการทำกิจการ ไม่ว่าจะดำเนินการเองหรือร่วมกับบุคคลอื่นหรือจากสหการ
16. การสร้างและบำรุงรักษาทางบกและทางน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
17. การจัดตั้งและดูแลตลาดกลาง
(1) สมาชิกโดยการเลือกตั้งของราษฎรในเขตเมืองพัทยา จำนวน 9 คน
(2) สมาชิกโดยการแต่งตั้ง จำนวน 8 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้แต่งตั้งจาก
- สาขาอาชีพต่างๆ จำนวน 4 คน
- ตัวแทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คน
โครงสร้างเมืองพัทยา ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ได้ยกเลิกการจัดโครงสร้างแบบผู้จัดการนคร และใช้โครงสร้างแบบสภา – นายกเทศมนตรี ประกอบด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สภาเมืองพัทยา ซึ่งมีสมาชิก 24 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน และฝ่ายบริหาร คือ นายกเมืองพัทยา มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเช่นเดียวกัน
การปฏิรูปด้านอำนาจท้องถิ่น
องค์ประกอบที่สำคัญของการบริหารท้องถิ่นตามระบอบประชาธิปไตย คือ อำนาจอิสระในการปกครองตนเองของท้องถิ่น
1. อำนาจท้องถิ่นกับอำนาจรัฐบาล
การทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจอิสระในการปกครองตนเองของท้องถิ่นของตนเองเพิ่มขึ้นนั้น จะต้องดำเนินการปรับปรุงด้านอำนาจ 2 ประการ ดังนี้
(1) การลดอำนาจส่วนกลาง การลดอำนาจส่วนกลางกระทำได้ 2 ลักษณะ คือ
- จำกัดอำนาจของส่วนกลางไม่ให้เข้าไปควบคุม ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการบริหารงานของท้องถิ่นมากจนเกินไปจนทำให้ท้องถิ่นขาดอิสระ
- ลดอำนาจหน้าที่ของส่วนกลาง ให้มีอำนาจหน้าที่เฉพาะในกิจการที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยองค์กรของรัฐในส่วนกลาง กิจการใดที่สมควรให้ท้องถิ่นดำเนินการ ก็กระจายอำนาจและหน้าที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการบนพื้นฐานเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
(2) การเพิ่มอำนาจท้องถิ่น การเพิ่มอำนาจของท้องถิ่นให้มากขึ้นกระทำได้ใน 2 ลักษณะ คือ
- เพิ่มอำนาจอิสระของท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารและดำเนินกิจการชองท้องถิ่นได้อย่างเป็นอิสระตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารงานบุคคลของท้องถิ่น ซึ่งทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคลของตนเองมากขึ้น
- เพิ่มอำนาจหน้าที่ท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกิจการที่ควรอยู่ในอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น ทำให้การดำเนินกิจการสาธารณะในท้องถิ่นเป็นไปตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น
2. การปรับปรุงอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น พ.ศ. 2542
อำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร
อำนาจฯ ของเทศบาล เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนตำบล อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด
1. การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
2. การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ
3. การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม และที่จอดรถ
4. การสาธารณูปโภคและการก่อสร้างอื่นๆ
5. การสาธารณูปการ
6. การส่งเสริมการฝึก และการประกอบอาชีพ
7. กA4วบคุมการเลี้ยงสัตว์
22. การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์
23. การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
24. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
25. การผังเมือง
26. การขนส่งและการวิศวกรรมจราจร
27. การดูแลรักษาที่สาธารณะ
28. การควบคุมอาคาร
29. การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
30. การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
31. กิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
13. การจัดการและดูแลสถานีขนส่งทางบกและทางน้ำ
14. การส่งเสริมการท่องเที่ยว
15. การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน และการทำกิจการ ไม่ว่าจะดำเนินการเองหรือร่วมกับบุคคลอื่นหรือจากสหการ
16. การสร้างและบำรุงรักษาทางบกและทางน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
17. การจัดตั้งและดูแลตลาดกลาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น